The Platform ภาพยนตร์สยองขวัญแนวเสียดสีสังคม จากผลงานผู้กำกับโดย กัลเดร์ กัซเตลู-อูร์รูเตีย ที่ตัวเรื่องจะเล่าผ่านอาคารแห่งหนึ่งที่เป็นศูนย์การจัดการตนเองความสูงกว่า 333 ชั้น สไตล์หอคอยขนาดใหญ่ ที่ผู้อยู่อาศัยซึ่งจะถูกสลับระหว่างชั้นต่างๆ ของอาคารทุกเดือน ซึ่งในตอนแรกเต็มไปด้วยอาหารหรูที่ชั้นบนสุด และค่อยๆ แจกจ่ายอาหารลงมาตามชั้นต่างๆ ตามชนชั้นล่างที่อาศัยลงมา
The Platform ได้เริ่มต้นด้วย โกเรง (รับบทโดย อิวาน มาสซาเก) ชายหนุ่มที่ตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แห่งหนึ่ง ที่พบว่าตัวเองอยู่ภายในหอคอยขนาดใหญ่ที่มีชั้นทั้งหมด 333 ชั้น ในแต่ละชั้นจะมีห้องเพียงห้องเดียว และทุกห้องจะมีแท่นสำหรับรับประทานอาหารที่เลื่อนลงมาจากด้านบน โกเรงได้พบกับธิมากาสิ (รับบทโดย โซริออน เอกีเลออร์) ชายชราผู้อาศัยอยู่ในห้องข้างๆ ทั้งสองคนได้พูดคุยกัน และได้รู้ว่ากฎของหอคอยแห่งนี้คือ แท่นอาหารจะเต็มไปด้วยอาหารมากมายเมื่อมาถึงชั้นบนสุด แต่อาหารจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เมื่อลงมาสู่ชั้นล่างๆ ผู้ที่อาศัยอยู่ในชั้นล่างจึงมักจะไม่ได้รับอาหารเพียงพอ
โกเรงและธิมากาสิจึงตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยในชั้นล่างให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ โดยเริ่มที่จะรวบรวมอาหารจากชั้นบนสุด และส่งลงมาให้ชั้นล่างเรื่อยๆ แต่การกระทำของโกเรงและธิมากาสิกลับก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นกับผู้อยู่อาศัยในชั้นอื่นๆ บ้างก็ว่าเป็นการลักขโมยอาหารจากคนชั้นอื่นๆ ในขณะที่บางคนมองว่าพวกเขาได้กำลังพยายามช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เหมือนกัน จนความขัดแย้งเหล่านี้ค่อยๆ ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ และนำไปสู่การต่อสู้และการนองเลือด
ประเด็นที่ภาพยนตร์ต้องการสื่ออย่างชัดเจนเลยคือเรื่องของสังคมเหลื่อมล้ำและความโหดร้ายของมนุษย์ จากความทุกข์ยาก ความโหดร้ายต่อผู้อยู่อาศัยในชั้นล่างๆ ยิ่งลึกเท่าไรก็ยิ่งเหลืออาหารมาถึงน้อยลงเท่านั้น เป็นอะไรที่หกหู่แบบสุดๆ ในขณะที่ชั้นบนได้อาหารอย่างเหลือเฟือ จนเกิดความคับแค้นใจและนำไปสู่การต่อสู้และการนองเลือด
ตัวหนังนั้นจะเน้นการเล่าผ่านฉากต่างๆ มากกว่าการใช้บทสนทนา และเน้นการสื่อให้เห็นถึงบรรยากาศความอึดอัด กระอักกระอ่วนจริงๆ เพราะเป็นตึกที่มีห้องแคบๆ กว่า 300 ชั้น จนเราแทบจะเข้าใจในความลำบากของที่นี่ เหมือนถูกจับมาอยู่ทรมาณและรอความต่างอย่างนั้น ซึ่งยังต้องมาแย่งอาหารกันเองอีกด้วย จนเราได้เห็นความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่ชัดเจนเลย
สำหรับ The Platform เป็นหนังที่มีความยาวเพียง 94 นาที ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกว่าช้าหรือเร็วเกินไป ด้วยความที่ตลอดทั้งเรื่องถ่ายอยู่ในสถานที่เดียว ฉากโลเคชั่นที่เดียวเท่านั้น จนเรารู้สึกอึดอัดจริงๆ แต่ก็รับชมได้จนจบเรื่อง ขอเตือนไว้ก่อนว่าหนังมีฉากความรุนแรงและเลือดสาดในบางช่วง ใครไม่ไหวอาจจะข้ามไปก่อนก็ได้ ส่วนโดยรวมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เล่าแก่นสำคัญของเรื่องได้เข้าใจทีเดียว จนได้รับรางวัลโกย่า สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยมจากงาน European Film Award for Best Visual Effects และรางวัล Gaudí Award for Best Visual Effects